ใกล้ถึงวันหยุดสงกรานต์แล้ว แล้วก็ช่วงนี้ซากุระก็กำลังเริ่มบาน destination สุด hot ของคนไทยก็คงหนีไม่พ้นญี่ปุ่นใช่มั้ยคะ พัดพึ่งกลับมาจากโตเกียวพอดีก็เลยรีบมาเขียนบล็อกเผื่อว่าใครกำลังหาข้อมูลสำหรับไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาวที่จะถึงนี้ค่ะ ขอออกตัวไว้ก่อนนะคะว่าใครที่มองหาข้อมูลทริปสุดคุ้มอัดแน่นไปด้วยโปรแกรมสถานที่กินเที่ยวต่าง ๆ จะไม่เจอที่บล็อกนี้แน่ ๆ ค่ะ เพราะconceptเราคือทริปชิลล์ ๆ ของคนขี้เกียจค่ะ5555 วันนึงไปไม่กี่ที่ นั่งทานอาหารทีบางทีปาเข้าไป 4 ชั่วโมง
ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ วันแรกพัดไปถึงก็เย็นแล้วเลยไม่ได้ทำอะไรมากเริ่มเที่ยวจริง ๆ ก็วันที่ 2 ค่ะ มื้อแรกของวันคือมื้อเที่ยงแต่ทานตอนบ่าย 2 ครึ่งเพราะร้านนี้จองยากค่ะมีแค่วันและเวลานี้ที่จองได้ เพราะร้านนี้เค้าได้ Michelin star ค่ะเป็น Teppanyaki ชื่อ “Omotesando UKai-Tei” อาหารเค้าจะมาเป็นคอร์สมี 3 แบบ 3 ราคาให้เลือกสำหรับ lunch เริ่มตั้งแต่ประมาณ 7,000-12,000 เยนค่ะ ถ้าเป็นมื้อเย็นแพงกว่านี้เกิน 2 เท่านะค้าาาาาา มากลางวันนี่เป็นอะไรที่คุ้มกว่ามากค่ะ แถมได้เห็นวิวสวย ๆ ด้านนอกด้วยค่ะ คอร์สนึงก็จะมีอาหารประมาณ 4 อย่างไม่รวมของหวาน ที่ดีงามคือพอเราทานของคาวเสร็จปุ๊บเค้าจะพาเราย้ายห้องไปทานของหวานที่ tea room ค่ะมีเมนูของหวานให้เลือกสั่งแล้วยังมีรถเข็นของหวานที่เติมเท่าไหร่ก็ได้ รวมถึงเครื่องดื่มด้วยนะคะ อ้อส่วนอาหารไม่ต้องพูดถึงค่ะอร่อยทุกอย่าง เนื้อนี่ก็ละลายในปาก สุดฟินนนนนนน! และสำหรับใครที่ไม่ทานเนื้ออสามารถขอเปลี่ยนเป็น seafood ได้นะคะ
พนักงานที่นี่บริการดีเลอเลิศค่ะ พูดภาษอังกฤษได้ดีมาก ๆ เลยค่ะหมดปัญหาการสื่อสาร ภาษามือไม่ได้งัดออกมาใช้แน่นอนค่ะ ตอนกลับนี่ลงลิฟต์เดินออกมาส่งถึงหน้าตึกเลยค่ะ มาที่นี่เรียกว่าประทับใจทุกอย่างทุกรายละเอียดจริง ๆ ค่ะ
Location : “Omotesando UKai-Tei” อยู่ชั้น 5 ที่ตึก OMOTESANDO-GYRE สามารถมาทางรถไฟใต้ดินได้ทั้งสถานี Harajuku และ Omote-Sando ค่ะ เดินต่อมาอีก 5-10 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ มองหาไม่ยากตึกนี้ชั้นล่างด้านหน้ามีร้าน Chanel กับ Delvaux ค่ะ
สำหรับร้านนี้ต้องขอขอบคุณพี่ดุ๊ก แห่ง “World Surprise Travel” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Japan expert ที่แนะนำร้านอาหารสุดยอดแบบนี้ให้พัดได้ลิ้มลองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นร้านถูกร้านแพงถ้าเป็นพี่ดุ๊กแนะนำแล้วล่ะก็รับรองว่าอร่อยแน่นอน
หลังจากมื้อเที่ยงพัดก็เดินเล่นช้อปปิ้งต่อที่Harajuku และไปต่อที่ Ginza เพราะตอนเย็นเรามีจองร้านซูชิ Tokami Sushi เอาไว้แถวนั้น ร้านนี้จองยากมากกกกกกก ร้านก็ลึกลับหายากมากจริง ๆ กว่าจะหาเจอลุ้นกันแทบตาย ร้านนี้เป็น Omakase ค่ะไม่มีเมนู a la carte และเค้ามีแค่ 8 ที่เท่านั้นค่ะ ไปถึงก็รอเชฟปั้นซูชิให้ทานได้เลยค่ะ อ้อ!!! ที่สำคัญที่สุดเตรียมท้องมาให้ดีนะคะ เพราะคอร์สเค้ามีทั้งหมดกว่า 20 อย่างค่ะ เป็น appetizer ประมาณ 5-6 อย่างและซูชิอีก 16 คำ!!!!!! คุณพระ! พัดทานแค่ appetizer ก็จะอิ่มแล้วค่ะ สรุปว่าทานไม่ไหวได้ทานซูชิไป 5 คำ แต่เช็คบิลมาในราคา 16 คำ #ร้องไห้หนักมากกกกกก ก.ไก่ 28 ล้านตัว ก่อนทานเราก็ลืมถามไปว่าทั้งหมดมันกี่คำ ไม่งั้นจะได้ขอทานแต่ซูชิไม่ต้องทานappetizer T_T
อาหารอร่อยทุกคำเลยค่ะ ที่พัดประทับใจที่สุดคือ “Uni” ที่นี่อร่อยและหวานที่สุดเท่าที่เคยทานมาในชีวิตเลยทีเดียว เชฟที่นี่ก็น่ารักมากค่ะ ดูแลอย่างดีอัธยาศัยดีมากชวนคุยตลอด ตอนพัดบอกว่าเราทานซูชิอีก 16 คำไม่ไหวเค้าก็ถามว่าทานไหวกี่คำแล้วให้เลือกอันที่อยากทานได้เลยค่ะ
Location : Tokami Sushi อยู่ชั้น B1 ตึก Ginza Seiwa Silver Building แนะนำใครที่อยากไปควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนนะคะ
วันที่ 3 พัดจอง Sunday brunch เอาไว้ที่ห้องอาหาร The Tower Grill ที่โรงแรม Ritz Carlton ทีเด็ดคือวิวเมืองโตเกียวแบบ panorama พัดขอจองโต๊ะริมหน้าต่างที่มองเห็น Tokyo Tower ไว้ด้วยค่ะ appetizer และของหวานจะเป็น buffet มีให้เลือกค่อนข้างเยอะนะคะ ส่วนในเมนูให้เลือกสั่งคือไข่แบบต่าง ๆ กับ main dish ค่ะ รสชาติอาหารก็ดีทุกอย่างค่ะแต่ไม่มีจานไหนที่รู้สึกว้าว รวม ๆ แล้วคือดีเหมาะมา brunch สวย ๆ ค่ะ 555 บางช่วงที่นี่จะมี “Dom Peringon” free flow ด้วยนะคะ ใครชอบดื่มแชมเปญลองเช็คกับทางโรงแรมดูค่ะ
Location : The Ritz Carlton อยู่ที่ตึก Midtown แถว Roppongi มีสถานีรถไฟเชื่อมใต้ตึกเลยค่ะ สะดวกมาก ชั้นล่างมีร้านอาหาร ขนม น่าทานไปหมด และมี supermarket ด้วยค่ะน่าเดินเลยทีเดียว
จากนั้นพัดก็ตรงดิ่งไปยัง “Sweet forest” ดินแดนแห่งขนมหวานที่ Jiyugaoka เพราะคราวก่อนมาแล้วฟินกับ Souffle ที่นี่ม๊ากกกกก สัญญากับตัวเองว่าจะต้องกลับมาทานอีก จริง ๆ ที่นี่เค้ารวมร้านขนมไว้เยอะมาก ๆ ค่ะน่าทานไปหมด ใครที่ชอบทานของหวานควรล้างท้องก่อนมานะคะ
จุดมุ่งหมายของพัดคือ Strawberry Cheesecake Souffle ของร้าน La Souffle ค่ะ เรียกว่าเป็นSouffle ที่อร่อยที่สุดที่เคยทานมาเลยก็ว่าได้ ละมุนนุ่มลิ้นฟินเวอร์ แต่มารอบนี้แอบเฟลเพราะเค้าทำไหม้เกินไป ไม่อร่อยเท่าเดิมค่ะ
แถว Jiyugaoka ก็น่าเดินเล่นนะคะ มีร้านขายของ เสื้อผ้า และคาเฟ่น่ารัก ๆ เต็มไปหมด มีร้าน “Hokkaido Bake Cheese Tart” ที่มาเปิดสาขาที่ไทยอยู่ตรงนี้ด้วย คิวยาวมากพอ ๆ กับที่ไทยเลยค่ะพัดเลยไม่ได้ลองว่ารสชาติเหมือนกันมั้ย
จากนั้นก็ไปเดินช้อปปิ้งแถว Ueno ต่อ มีร้านขายเครื่องสำอางญี่ปุ่นแล้วก็ของกระจุ๊กกระจิ๊กน่ารักเต็มไปหมด ละลายเงินในกระเป๋าพัดไปเยอะทีเดียว ใครชอบรองเท้าผ้าใบแถวนี้มีขายเยอะมากเลยค่ะ
หลังจากช้อปปิ้งจนร่างพัง พัดก็แวะทานมื้อเย็นในตลาดAmeyoko เพื่อนสาวที่มาด้วยกันเคยมาร้านนี้บอกว่ารสชาติใช้ได้เลย ถูกด้วย เป็นข้าวหน้าปลาดิบและปลาไหลค่ะ พัดว่าโอเคเลยนะคะ ปลาสดอร่อย แต่ๆๆๆๆๆๆ อย่าได้สั่ง Uni โดยเด็ดขาด! คาวมาก ๆ พัดนี่สั่งไปเต็ม ๆ เพราะหิวมากและเข้าใจว่า uni ที่ญี่ปุ่นคงจะอร่อยทุกที่แหละ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ พลาดมากเลย!
Location : จำไม่ได้จริง ๆ ว่าร้านนี้ชื่ออะไรเพราะตอนนั้นหิวโซและร่างพังบวกกับชื่อก็เป็นภาษาญี่ปุ่น จำได้แค่ว่าอยู่ตรงข้ามร้านรองเท้าผ้าใบ ABC ในตลาดAmeyoko ค่ะ
วันต่อมา (วันที่4) พัดไปทานอาหารเที่ยงที่ตลาดปลา Tsukiji ค่ะ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องปลาสดและถูก แต่แต่ละร้านก็คิวยาวเหลือเกิน ใครจะไปแนะนำว่าเผื่อเวลาต่อคิวอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงนะคะ ไม่งั้นอาจจะคุ้มคลั่งเพราะโมโหหิวได้ค่ะ คราวก่อนที่มาพัดทานร้าน Zanmai Sushi แต่มาคราวนี้อยากลองร้านใหม่ แล้วอีกอย่าง Zanmai Sushi วันนี้ก็คิวยาวมาก ๆ ด้วย พัดเลยไปทานอีกร้านแทน ชื่อร้านมีแต่ภาษญี่ปุ่นอ่านไม่ออกไม่สามารถบอกได้จริง ๆ ค่ะ ดูป้ายในรูปแทนละกันนะคะ(เค้าขอโทษษษษษ) ร้านนี้เป็นข้าวหน้าปลาดิบค่ะ มีSashimiให้สั่งด้วย รสชาติใช้ได้แต่พัดไม่ได้ปลื้มมากเท่าไหร่ Uni ก็แอบคาว ขอสรุปว่าชอบร้าน Zanmai Sushi มากกว่า ถูกและดีแต่คิวยาวกว่าร้านนี้เป็นเท่าตัวค่ะ
ในตลาดTsukiji ใกล้ ๆ กับร้านข้าวของเรายังมีขาย Difuku ลูกโต ใส่strawberryญี่ปุ่นที่แม้จะลูกไม่ใหญ่มากแต่หวานฉ่ำอร่อยมาก ๆ ค่ะ นอกจากนั้นยังมีร้านไข่หวานในตำนานคนยืนรอต่อคิวซื้อยาวมากกกกกกกก อย่างกะแจกฟรี พัดและสาว ๆ ไม่มีความอดทนกับการต่อคิวมากนักเลยได้แต่มองค่ะ ใครมีเวลาและอยากลองชิมไข่หวานลองต่อแถวกันดูนะคะ อร่อยไม่อร่อยยังไงมาบอกพัดด้วยนะคะ
จากนั้นเราก็ไปตะลุย Disneyland กันค่ะ สำหรับ Disneyland คงไม่ต้องพูดอะไรมากทุกคนคงรูจักกันดีอยู่แล้ว สาวกดิสนีย์อย่างพัดและเพื่อนสาวอีก 2 คนก็เพลินและลั้ลลากันมากกกก 55555 ถ่ายรูปกระหน่ำและเข้าทุกshopที่ขายของดิสนีย์ ของเล่นเครื่องเล่นเด็กน้อยแค่ไหนไม่ใช่ปัญหา นี่คือสาเหตุที่เป็นทริปหญิงล้วนเพราะผู้ชายคงไม่ค่อยเข้าใจอะไรแบบนี้ซักเท่าไหร่ คงจะแอบเบ้ปากกรอกตาบนแน่ ๆ ค่ะ
มาถึงวันสุดท้ายแล้ว มันช่างเร็วเหลือเกิน เนื่องจากพัดพักที่โรงแรม Sheraton Miyako อยู่ตรง Minato วันสุดท้ายเราไม่มีเวลามากนักเพราะต้องขึ้นรถไปสนามบินตอนเที่ยงครึ่ง พัดเลยหาที่ใกล้ ๆ โรงแรมเพื่อทานอาหารเที่ยงเพื่อที่จะไม่ต้องเร่งรีบมาก โชคดีมากที่มีเพื่อนแนะนำ “Happo-en” ซึ่งอยู่ใกล้โรงแรมมาก ๆ เดินไป 2 นาทีเท่านั้น
“Happo-en” เป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน เป็นสวนญี่ปุ่นขนาดค่อนข้างใหญ่และมีร้านอาหารอยู่ 2-3 ร้านค่ะ พัดเลือก cafe ที่เสิร์ฟอาหารฝรั่ง ตอนกลางวันจะเป็นเซ็ตเมนู มีappetizer เป็น buffet ให้เลือกตักได้เองและมี main dish ที่เป็นอาหารประจำวันสำหรับวันนี้เป็นเนื้อวัวค่ะ แต่ใครที่ไม่ทานเนื้อก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะเพราะสามารถขอเปลี่ยนเป็นปลาได้เหมือนกันค่ะ
ใครที่กำลังหาที่ชมซากุระสวย ๆ ในบรรยากาศสบาย ๆ และ private คนไม่พลุกพล่านพัดแนะนำที่นี่เลยค่ะ สวนสวยมากและมีต้นซากุระเต็มไปหมด ใครที่อยากถ่ายรูปกับซากุระและสวนสไตล์ญี่ปุ่นรับรองว่าต้องชอบค่ะ พัดเคยไปสวน Ueno ที่คนเค้าฮิตไปดูซากุระกันแล้วไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ ซากุระเยอะก็จริงแต่ถ่ายรูปไม่สวยเลย คนเยอะเต็มไปหมด น่าเสียดายที่วันที่พัดไปซากุระยังไม่บาน มาบานเอาหลังวันที่กลับไปแล้ว 1 วัน ที่นี่มี afternoon tea ด้วยนะคะ เหมาะกับมานั่งจิบชาอุ่น ๆ ชมซากุระไปด้วยมาก ๆ เลยค่ะ แนะนำให้จองโต๊ะไปก่อนนะคะ มีทั้งนั่ง outdoor และ indoor ค่ะ
Location : Happo-en อยู่ตรง Minato ใกล้กับโรงแรม Sheraton Miyako ลงสถานีรถไฟ Shirokanedai แล้วเดินมานิดเดียวก็ถึงแล้วค่ะ ไม่เกิน 3 นาที
My Tips :
Transportation
สำหรับการเดินทางระหว่างสนามบินและโรงแรมที่พักที่โตเกียวพัดเลือกใช้ Limousine Bus ซึ่งสามารถขึ้นที่สนามบินนาริตะได้เลย ไม่ต้องจองเพราะรถจะออกทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง และพัดจองโรงแรม Sheraton Miyako เป็นโรงแรมที่ Limousine Bus จอดพอดีค่ะ จะได้ไม่ต้องยกกระเป๋าขึ้นลงให้เหนื่อย นั่งทีเดียวยาวถึงเลยมีคนยกกระเป๋าให้เสร็จสรรพ ส่วนขากลับก็เหมือนกันค่ะแต่ต้องจองกับโรงแรมและขอดูตารางว่ารถจะมาจอดที่โรงแรมกี่โมง
สำหรับการเดินทางระหว่างสนามบินและบ้านที่กรุงเทพฯ พัดจองกับ Limousine Express ซึ่งสามารถโทรจองกับ call center 24 ชั่วโมงหรือจอง online ผ่านเว็บ www.limousinethailand.com ก็ได้ค่ะ เค้าจะมีส่ง confirmation e-mail มาให้และตัดบัตรเครดิต ส่ง SMS มาคอนเฟิร์มรายละเอียดล่วงหน้า 1 วัน และโทรมาคอนเฟิร์มสถานที่ เวลา และจำนวนกระเป๋าก่อนเดินทาง 1 วันด้วยค่ะ
เนื่องจากพัดรู้ตัวว่าจะซื้อขนมสำหรับของฝากเยอะมากกกกก พัดไปซื้อที่สนามบินค่ะ เพราะมีขนมอร่อย ๆ ให้เลือกเยอะมาก แล้วเค้าก็แพ็กให้อย่างดี ยังไงก็ต้องถือขึ้นเครื่องเองอยู่แล้วก็ซื้อที่สนามบินมันซะเลยจะได้ไม่ต้องแบกระหว่างเที่ยวให้เมื่อย พัดเลยจองบริการรถกอล์ฟและ บริการ Meet and Assist ที่สนามบินสุวรรณภูมิเอาไว้ด้วยบริษัทเดียวกันกับรถรับส่ง พอลงจากเครื่องปุ๊บก็จะมีรถกอล์ฟมารอที่หน้าgate คราวนี้ก็สบายไม่ต้องแบกของเอาขึ้นรถกอล์ฟแล้วก็นั่งไปลงที่ต.ม.ได้เลยค่ะ สบายมาก ๆ มีคนช่วยถือของ ยกกระเป๋าตลอดทาง แถมยังไม่ต้องต่อคิวยาว ๆ ที่ต.ม. อีกด้วย VIP ตั้งแต่ลงเครื่องไปส่งจนถึงรถเลยค่ะ แล้วพนักงานที่มารับก็จะโทรประสานงานกับคนขับรถให้ขับมารอที่ประตูทางออกที่ใกล้ที่สุด
Accommodation
สำหรับการเลือกโรงแรมพัดขอ 3 อย่่างคือ 1. ใกล้รถไฟ 2. มีรถLimousine Busจอด 3. มีห้องแบบ triple 3 เตียงนอนสบาย ๆ
เนื่องจากไปทริปหญิงล้วน 3 คน ไร้หนุ่ม ๆ คอยช่วยยกกระเป๋า การเดินทางจึงต้องสะดวกนั่ง limousine bus รวดเดียวถึง ให้ลากกระเป๋าขึ้นรถไฟต่อหลายสถานีอาจจะร่างพังก่อนจะได้เที่ยวค่ะ และห้องต้องมีspace สำหรับสาวนักช้อปอย่างเพื่อนสาวของพัดที่สามารถหยุดแวะซื้อของได้ตลอดเวลา กระเป๋าออกลูกออกหลานมากมาย และการเดินทางสะดวก ใกล้สถานีรถไฟถึง 3 สถานีเดินไปไม่เกิน 5 นาที(จริง ๆ 2-3 นาทีก็ถึงค่ะ) คือ Shirokanedai, Shirokanetakanawa, และ Meguro ซึ่งสถานีสุดท้ายถ้าเดินจะค่อนข้างไกลทางโรงแรมจึงมีรถ shuttle bus รับส่งทุก ๆ 40 นาทีค่ะ โรงแรม Sheraton Miyako จึงตอบโจทย์และอยู่ใน budget ของเราค่ะ