เป็น destination ที่พัดภูมิใจนำเสนอมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ค่ะ นั่นก็คือ Al Jabal Al Akhdar อยู่ในเขต Nizwa ประเทศโอมานค่ะ เป็นเทือกเขาที่สูงมากและเป็นเขตอุทยานที่นี่จึงมีโรงแรมแค่ 2 โรงแรมที่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาสร้างค่ะ และโรงแรมที่พัดเลือกมาพักครั้งนีก็คือ Anantara Al Jabal Al Akhdar เชนโรงแรมของไทยนั่นเอง ที่นี่เริ่ดมาก ดีงามมาก ปลาบปลื้มมาก มากยังไงไปดูกันค่ะ
พอขึ้นมาถึงโรงแรมปุ๊บก็ต้อง surprise กับอากาศที่นี่ คือเย็นมาก หนาวเลยละกันประมาณ 15 องศาซึ่งต่างจากข้างล่างมากค่ะ เค้าบอกว่าบนเขานี้อากาศเย็นตลอดทั้งปียิ่งช่วงหน้าหนาวไม่ต้องพูดถึงค่ะอุณหภูมิติดลบ
พอเข้ามาในโรงแรม Anantara Al Jabal Al Akhdar ก็ต้องตะลึงในความสวยงามอลังการของสถาปัตยกรรมแบบอาหรับของที่นี่ค่ะ ดีไซเนอร์ที่ออกแบบที่นี่เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศสและโมร็อคโค ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบโรงแรมนี้จากป้อมปราการของโอมานค่ะ และที่พัดประทับใจก็คือสวนของเค้าค่ะออกแบบสวนได้น่ารักมีเอกลักษณ์มากแบบว่าไม่ซ้ำกับที่ไหนเลย แล้วดูแลดีมาก ๆ
อีกจุดนึงที่เป็นไฮไลต์ของ Anantara Al Jabal al Akhdar ก็คือ Diana’s Point เป็นจุดชมวิวที่เป็นสะพานยื่นออกไปที่หน้าผา ที่มาของชื่อ Diana ก็คือเจ้าหญิงไดอาน่าแห่งอังกฤษเคยเสด็จมาทอดพระเนตรทิวทัศน์ที่ตรงนี้สมัยที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ค่ะ พอมีการสร้างโรงแรมขึ้นจึงให้เกียรติใช้ชื่อท่านเพื่อเป็นที่ระลึกถึงท่านค่ะ
พามาดูห้องพักกันบ้าง ห้องที่พัดพักเป็น one bedroom cliff pool villa ค่ะเป็นห้องแบบที่วิวดีที่สุดของโรงแรมเลยทีเดียวใครมาแนะนำว่าจ่ายเพิ่มอีกหน่อยมาพักวิลล่าแบบนี้แล้วจะไม่เสียใจแน่นอนค่ะ
นอกจากที่นอนจะนุ่มสบาย มี pillow menu สาระพัดแบบให้เลือกสรรแล้ว ห้องน้ำก็ใหญ่มาก มีทั้ง rain shower พุ่งออกจากเพดานและอ่างอาบน้ำสุดชิลล์
ที่ปังที่สุดเห็นจะเป็นระเบียงของเราที่มีสระว่ายส่วนตัวและวิวเขาแบบพาโนรามาสวยตะลึง
ในห้องมีเสื่อโยคะให้ด้วยค่ะพัดเลยเอามาปูเล่นที่ริมสระซะเลย
แอบออกไปเดินเล่นถ่ายรูปที่หน้าผาหน้าห้องกันนิดนึงตรงนี้วิวสวยม๊ากกกกกก
Restaurants
นอกจากนั้นที่นี่ยังมีสิ่งดีงามอีกอย่างที่พัดอยากจะนำเสนอนั่นก็คือห้องอาหารอาหรับของเค้าค่ะ Al Qalaa เป็นอาหารอาหรับที่อร่อยที่สุดของทริปนี้ที่พัดทานเลย รสชาติพัดว่าเค้าดัดแปลงให้ถูกปากชาวต่างชาติ แล้วร้านก็สวยได้บรรยากาศอาหรับมาก ๆ ค่ะ บริการนี่ไม่ต้องพูดถึง มาพักที่นี่แล้วไม่ควรพลาดร้านนี้ด้วยประการทั้งปวงค่ะ
ด้านบนของห้องอาหารมีบาร์ที่สวยมาก ๆ ค่ะถึงใครจะไม่ดื่มแต่ต้องมาถ่ายรูปนะคะ
Al Maisan อีกห้องอาหารที่เราต้องมาทานอาหารเช้าทุกวันและมีบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นด้วย ช่วงเช้าก็มีอาหารให้เลือกเยอะทีเดียว ส่วนอาหารเย็นจะเป็นเซอไพรซ์ค่ะ เค้าจะมีธีมแต่ละวันว่าเป็นอาหารอะไรบางวันเป็นอาหารไทยก็มี ส่วนวันที่พัดไปเป็นอาหารไอริชซึ่งพัดไม่ค่อยจะอินเท่าไหร่ แต่ให้คะแนนของหวานเค้าค่ะหยิบอันไหนมาทานก็อร่อยทุกจานไม่เคยผิดหวังเลย
ที่ Diana’s Point ตรงนี้นอกจากจุดชมวิวสุดปังแล้วก็ยังมีร้านอาหารอิตาเลียนที่พัดมาทานอาหารกลางวันทุกวันระหว่างที่อยู่ที่นี่ด้วยค่ะชื่อร้าน Bella Vista รสชาติดีเลย happy มากพัดอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ที่มีอาหารอิตาเลียน ขนมเค้าก็อร่อยทุกอย่าง
Activities
จริง ๆ ที่ Anantara Al Jabal al Ahkdar มีอะไรให้ทำหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะคลาสโยคะ ตีปิงปอง มีจักรยานให้ยืมไปปั่นเล่นได้ด้วย ใครพาลูกหลานมาก็มี kids club และอีกหลายส่ิงค่ะ ส่วนที่พัดเลือกก็มีตามนี้เลยค่ะ
แน่นอนสายสปาแบบพัดมาพักผ่อนทั้งทีจะขาดการไปนวดผ่อนคลายได้ยังไงกัน ที่ Anantara Spa มี therapist คนไทยด้วยนะคะก็คนที่มานวดให้พัดนั่นแหละเลยสบายใจหายห่วงว่าจะนวดถูกใจมั้ย พัดชอบสวนเล็ก ๆ ตรงกลางสปาที่เป็นบริเวณที่ให้เรานั่งผ่อนคลายหลังทำสปามาก ๆ ค่ะ แล้วยังมีบ่อ jaguzzi น้ำอุ่นสระเบ้อเริ่มอีกด้วยแต่พัดถ่ายมาให้ดูไม่ได้เพราะมีแขกของโรงแรมแช่อยู่ค่ะ
นอกจากจะกิน ๆ นอน ๆ นวด ๆ แล้วทริปนี้พัดขอออกแรงไปเดินย่อยบ้าง ที่โรงแรมเค้ามีทัวร์ Three Village Walk ด้วยก็เลยขอลองซะหน่อยค่ะไปเดินชมหมู่บ้านของขาวบ้านท้องถิ่นแถว ๆ นี้ ตอนแรกพัดนี่แต่งตัวแบบกะว่าไปเดินสวย ๆ ถ่ายรูปตามหมู่บ้านใส่ maxi dress กับ sandals ออกมาแต่เช้าแต่อยู่ ๆ ก็รู้สึกป่วย ๆ เหมือนจะเป็นไข้ตอนทานอาหารเช้าประกอบกับอากาศก็หนาวดูท่าจะไม่รอดแน่ สภาพร่างไม่เอื้ออำนวยเลยกลับไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดออกกำลังเต็มรูปแบบพร้อม hoodie อย่างหนาใส่กันหนาว รูปเริบอะไรไม่ต้องถ่ายมันละ ปรากฎว่าคิดถูกมากกกกกกกกกก จากแรกที่มโนไปเองว่าทางโรงแรมคงมีรถไปส่งเราตามหมู่บ้านแล้วก็ไปเดินสวย ๆ โฉบ ๆ ถ่ายรูปความจริงแล้วมันคือการเดิน ๆ ๆ ๆ และ เดินข้ามเขา เดินจริงจัง trekking ดี ๆ นี่เอง 2 ชั่วโมงครึ่งเต็ม ๆ บุกป่าฝ่าดง เลยรอดแบบงง ๆ (ตอนนี้เค้าเปลี่ยนชื่อโปรแกรมเป็น Three Village Trail Hike ละค่ะ)
เห็นซ้ายสุดบนยอดเขานั่นมั้ยคะ นั่นโรงแรมของเราค่ะ ส่วนขวาสุดนู๊นนนนนคือหมู่บ้านที่ 2 ที่เราจะไปค่ะ ไปจบหมู่บ้านที่ 3 ตรงไหนไม่รู้ค่ะไกลมากกกกก ทั้งหมดนี่เดินอย่างเดียวนะคะขึ้นเขาลงเขา
ทางเดินของเราก็เหมาะกับการใส่ maxi dress เดินสวย ๆ มากค่ะ 5555555 แก๊งที่มาเดินกับพัดก็จะมีลุง ๆ ป้า ๆ คุณตาคุณยายด้วย ก็มีล้มหัวทิ่มกันบ้างไปตามระเบียบ จากแพลนที่จะต้องเดินทัวร์ทั้งหมด 1.5 ชั่วโมงก็กลายเป็น 2.5 ชั่วโมงแทนด้วยความเร็วของแก๊งคุณป้าที่เร็วสุดได้เท่านี้จริง ๆ พัดเด็กสุดในกรุ๊ปแล้วค่ะ
พอจบหมู่บ้านที่ 3 เจอขบวนรถจากโรงแรมขับมานี่ดีใจน้ำตาจะไหล คิดภาพไม่ออกว่าถ้าต้องเดินกลับทางเดิมจะเป็นยังไง
เอาเป็นว่ามันก็ไม่ได้แย่นะแค่พัดไม่ได้เตรียมใจมาว่าจะมาเดิน trekking ข้ามเขาเป็นลูกแค่นั้นเอง ใครชอบเดินเขาน่าจะชอบค่ะได้เห็นวิวสวย ๆ และชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่ ไกด์ของเราเค้าก็จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลยค่ะ ก่อนมาพัดสงสัยมานานละว่าคนที่นี่เค้าทำอาชีพอะไรกันในประเทศที่ส่วนมากเป็นทะเลทราย จริง ๆ แล้วเค้าก็ทำเกษตรกรรมกันค่ะ เช่นเลี้ยงแพะ(เราจะเห็นแพะเดินไปมาอย่างอิสระเสรีบนเขานี้เต็มไปหมดค่ะ เค้าบอกว่าพอตกเย็นมันจะเดินกลับบ้านเองได้ไม่ต้องห่วง) ทำไร่ทำสวนปลูกต้นทับทิม กระเทียม และมะกอกที่ทางรัฐเค้ามีโรงสกัดน้ำมันมะกอกให้ชาวบ้านที่ปลูกนำมาทำน้ำมันมะกอกได้ฟรีเพื่อสนับสนุนชาวบ้านให้ทำการเกษตร แถมน้ำมันมะกอกจากที่นี่ยังเป็นแบบออร์แกนิคด้วยนะคะ และช่วงที่พัดมาเป็นฤดูของกุหลาบค่ะ กุหลาบที่นี่กลิ่นจะหอมและแรงกว่ากุหลาบบ้านเรามากค่ะเค้าก็จะเอาไปทำน้ำหอมหรือทำน้ำกุหลาบ ที่โรงแรมเราก็จะหอมกลิ่นกุหลาบนี้เหมือนกันค่ะพัดชอบมาก
ที่น่าแปลกใจมาก ๆ คือภูเขานี้สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ๆ และโรงแรมนี้ติดหนึ่งในโรงแรมที่อยู่สูงที่สุดในโลกค่ะ แต่ว่าบนนี้เราจะเห็นหลักฐานว่าตรงนี้เคยอยู่ใต้น้ำทะเลมาก่อน หินบนนี้มีซากเปลือหอยฝังอยู่เต็มเลยค่ะ
กิจกรรมสุดท้ายที่พัดแบบว่าปลื้มมากประทับใจมากอยากให้ทุกคนได้ลองก็คือ Rock Climbing ค่ะ ซึ่งเราก็จะไปปีนหน้าผาสูงลิบกันตรง Diana’s Point นั่นแหละค่ะ จริง ๆ เค้ามีให้ปีน 2 จุดแต่ตรงนี้เป็นจุดใหม่ที่พึ่งเปิดซึ่งปีนยากกว่าท้าทายกว่าค่ะ
จริง ๆ แล้วพัดเป็นคนกลัวความสูงขั้นสุดแบบว่าไม่สามารถไปยืนริม ๆ หน้าผาได้เลย แค่ 2 เมตรจากขอบพัดก็ขาอ่อนไม่มีแรงใจหวิว ๆ จะเป็นลมแล้วค่ะ แต่ด้วยแรงบิ้วของพนักงานที่นี่ว่ามันสุดยอดมากมาแล้วต้องลองสักครั้งในชีวิตนะยู รู้ตัวอีกทีก็ไปยืนใส่อุปกรณ์ปีนเขาที่ห้องกิจกรรมของเค้าซะแล้วค่ะ555 ที่นี่เรื่อง safety เค้าดีมากหายห่วงค่ะทั้งอุปกรณ์ชุดที่ใส่ทั้งตรงที่ปีนหน้าผา พอเค้าสาธิตให้ดูว่าปลอดภัยขนาดว่าพลาดยังไงก็ไม่มีวันตกลงไปตายแน่ ๆ ความกลัวของพัดก็ค่อย ๆ หายไปค่ะ
ทางโรงแรมเค้าจะมี instructor ไปกับเรา 2 คน นำ 1 คนและปิดท้าย 1 คนค่ะ และในกรุ๊บที่พัดไปปีนวันนี้มีพัดและแขกของโรงแรมอีก 2 คนเป็นสามี-ภรรยากันเท่านั้นเอง บอกเลยว่า instructor ทั้ง 2 คนใจเย็นม๊ากกกกกกกกกก ขนาดว่าผู้หญิงคนที่ปีนก่อนหน้าพัดสติแตกโวยวายตลอดทาง ร้องไห้งอแงจะไม่ยอมปีนต่อแล้วให้ทำอะไรก็ไม่ทำเค้าก็ยังสงบ นิ่งมาก ใจเย็นมาก ๆ จนสุดท้ายก็ปีนจนจบ ยอมใจเค้าเลยค่ะ ส่วนพัดก็เจอคนเล่นใหญ่กว่ามากเลยไปไม่ถูกตั้งหน้าตั้งตาปีนต่อไป555
พอปีนเขาจนจบคือ happy มากสนุกมากแล้วอีกอย่างคือภูมิใจในตัวเองมากที่สู้กับความกลัวในจิตใจจนผ่านมันมาได้ค่ะ อ้ออีกอย่างที่พัดคิดว่าทำให้พัดสนุกกับการปีนเขาครั้งนี้ก็เพราะว่าพัดเคยปีนหน้าผาจำลองมาก่อน เคยมีอยู่ช่วงนึงปีนทุกอาทิตย์ก็เลยเหมือนพอจะรู้เทคนิคบ้าง ก็แนะนำว่าถ้าใครอยากไปปีนของจริงแบบนี้ลองไปฝึกหน้าผาจำลองดูก่อนก็จะทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นค่ะ
Transportation
ทริปนี้พัดเช่ารถขับจากมัสกัต แต่การที่จะมาที่โรงแรมนี้เราต้องผ่านด่านตรวจของอุทยานก่อนค่ะและเค้าอนุญาตให้เฉพาะรถ 4×4 ขับขึ้นมาเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย พัดเลยจอดรถไว้ที่จุดตรวจตรงเชิงเขาแล้วให้รถของโรงแรมมารับค่ะ จากจุดนี้จนถึงโรงแรมใช้เวลาขับขึ้นเขาประมาณ 20 นาทีค่ะ และจากมัสกัตขับมาที่จุดตรวจประมาณ 1.5 ชั่วโมงค่ะ
รถที่โรงแรมมารับก็ดีงามขึ้นรถมามีน้ำ ผ้าเย็น ให้บริการแถมมีกล่อง snack เป็นถั่วและอินทผาลัมให้เราขบเคี้ยวระหว่างทางขึ้นเขาด้วยค่ะ
อ้อใครจะจอดรถทิ้งไว้ที้จุดตรวจแบบพัดบอกก่อนว่าไม่มีที่จอดในร่มนะคะไม่ควรทิ้งอาหาร เครื่องสำอาง และยาใว้ในรถโดยเด็ดขาดค่ะเพราะแดดแรงมาก และที่จอดมีจำนวนจำกัด first come first serve หรือใครอยากให้โรงแรมไปรับที่สนามบินเลยหรือในตัวเมืองมัสกัตก็ได้เหมือนกันค่ะเค้ามีบริการรถรับ-ส่งค่ะ