เห็นชื่อเมืองแล้วงงกันใช่มั้ยคะว่ามันคือที่ไหนของญี่ปุ่น ก่อนพัดไป Kanazawa ก็เรียกได้ว่าไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนเลยเหมือนกันค่ะทำการบ้านเสิร์ชหารีวิวของคนอื่นก็มีน้อยม๊ากกกกก ทำเอาใจแป้วไปเหมือนกันว่ารอดมั้ยน้อออ แต่พอไปแล้วก็รู้สึกว่าเมืองนี้เค้าก็มีสเน่ห์ไปอีกแบบ เหมาะกับใครที่ชอบไปเที่ยวแบบ slow life มาก ๆ เลยค่ะ ว่าแล้วก็ตามไปดูกันค่ะ
How To Get There
พัดเดินทางด้วยสายการบิน Japan Airlines(JAL) ที่มีเส้นทางการบินภายในประเทศเยอะที่สุดในญี่ปุ่นเลยค่ะ เราเลยสบายใจหายห่วงบินไปลงโตเกียว(Haneda Airport) แล้วต่อเครื่องแบบชิว ๆ ไปถึง Kanazawa ได้เลยค่ะ
ที่นั่งกว้างแล้วออกแบบได้ดีรู้สึกเป็นส่วนตัวมาก ๆ ค่ะพัดเลยนอนหลับสบายยยยยย พัดชอบอีกอย่างตรงที่มีอาหารญี่ปุ่นเสิร์ฟบนเครื่องด้วยทำให้รู้สึกเหมือนเราเริ่มเข้าใกล้ญี่ปุ่นเข้าไปทุกที ๆ ค่ะ
บนเครื่องบินเค้ามี Wi-Fi คอยให้บริการแต่ส่วนไฟลท์ในประเทศมี Free Wi-Fi ตลอดการเดินทางไว ้คอยให ้บริการ ด้วยเช่นกันตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.th.jal.co.jp
อ้อแล้วใครที่กังวลเรื่องการสื่อสารกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน JAL เค้ามีแอร์โฮสเตสคนไทยด้วยนะคะ อย่างเที่ยวบินทั้งขาไปและกลับของพัดก็มีแอร์คนไทยมาดูแลตลอดเที่ยวบินค่ะ รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่เดินทางแล้วมีแอร์คนไทยมาดูแลค่ะ
ที่ชอบอีกอย่างคือ JAL เค้ามี loungeให้บริการทุกที่จริง ๆ ไม่ว่าจะที่สุวรรณภูมิ เปลี่ยนเครื่องภายในประเทศที่ Haneda Airport หรือจะเป็นที่สนามบินเล็ก ๆ อย่างที่ Komatsu Airport ที่ Kanazawa ทุกที่มี Sakura Lounge ให้บริการทั้งหมดเลยค่ะ ซึ่งใครที่ชอบความเป็นญี่ปุ่นก็น่าจะถูกใจค่ะเพราะไม่ว่าการบริการหรืออาหารเค้าก็จะมีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเองค่ะ
ตอนเปลี่ยนเครื่องก็สะดวกมาก ๆ ลงจากเครื่องปุ๊บมีเคาเตอร์ให้ดร็อปกระเป๋าเลยไม่ต้องลากไปอีก terminal ให้เหนื่อยแล้วเราก็ขึ้นรถบัสของสายการบินแบบตัวปลิวไปอีก terminal เพื่อขึ้นเครื่องได้เลยค่ะสะดวกมาก ๆ สมแล้วที่เป็น 5-star airlines !
ใกล้ถึงแล้ววิวจากบนเครื่องสวยมากกกกก
พัดรีวิวสายการบินนี้ให้ดูแบบเต็ม ๆ ไว้ด้วยว่าดีงามยังไงบ้างค่ะดูได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ facebook.com/160837924295229/posts/825368061175542?sfns=mo
หลังจากที่ถึงสนามบินพัดก็นั่ง Limousine Bus ไปโรงแรมที่พัก ตั๋ว Limousine Bus กดซื้อได้จากตู้หน้าสนามบินเลยค่ะ(1,130Yen) แต่ความยากก็มีตรงที่พอเป็นเมืองเล็กมันจะไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษโชคดีที่มีคนญี่ปุ่นน่าร๊ากกกกคงเห็นหน้าเราอ๊องๆเลยมาช่วยกดซื้อตั๋วให้
ความโชคดีอีกอย่างคือ Limousine Bus จอดที่หน้าโรงแรมที่พัดพักพอดิบพอดี สบายไปอีก
Where To Stay
ทริปนี้พัดพักที่โรงแรม The Square Hotel Kanazawa เป็น boutique hotel เล็ก ๆ location ดีมากอยู่ข้างๆตลาดปลาเลยเราไม่อดตายแน่แล้ว ข้าง ๆ มี minimart ตรงข้ามเป็นห้าง และใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะไปหลายที่เลยค่ะ
โรงแรมนี้พัดชอบอยู่นะ คือตกแต่งเรียบๆแต่เก๋มีความชิคอยู่ พนักงานก็ให้ความช่วยเหลือดีมากค่ะ ห้องพักดีงามเทียบกับมาตรฐานห้องพักญี่ปุ่นถือว่าไม่แคบ แถมชั้นบนสุดมี public bath แยกห้องหญิงชายให้ขึ้นไปแช่น้ำร้อนได้ฟรี มีทั้งแบบ indoor และ outdoor เลยค่ะ พัดไปแช่เกือบทุกวันบอกเลย
Tourist Attraction
ที่แรกที่เราไปกันก็คือ“ตลาดปลา”ค่ะ แหมอยู่ข้าง ๆ โรงแรมแค่นี้จะให้ไม่ไปได้ยังไงกันเดินไป 1 นาทีก็ถึงละ ช่วงเช้าถึงเที่ยงคนจะเยอะพอควรค่ะ ยิ่งช่วงเที่ยงเนี่ยคนมาทานอาหารกลางวันกันเยอะมากค่ะ เนื่องจาก Kanazawa เป็นเมืองติดทะเลพวกอาหารทะเลที่นี่เค้าก็จะดังอยู่ มีร้านซูชิ ร้านข้าวหน้าปลาดิบเยอะมากละลานตาจนเลือกไม่ถูกว่าจะทานร้านไหนดี เท่าที่ทานมา 3 ร้านถือว่าคุณภาพดีใช้ได้ทีเดียวราคาก็ดี แต่คุณภาพก็แบบกลางๆถึงดีคือไม่ได้แบบสุดยอดเหมือนเวลาไปทาน omakase ร้านดัง ๆ อะไรแบบนั้นนะคะแต่ก็สดอร่อยไม่เฟลค่ะ
วันต่อมาพัดไป Kanazawa Castle และสวน Kenroku-en Garden ซึ่งอยู่ติดกันค่ะ ที่นี่ก็เหมาะมาเดินเล่นถ่ายรูปชิลล์ๆ คนไม่เยอะมาก จริงๆ แล้วหน้า Kanazawa Castle เนี่ยที่เห็นเป็นต้นซากุระทั้งหมดเลยนะคะ แต่เรามาเร็วไปนีสสสส์ก็เลยยังไม่บานค่ะถ้ามาช้ากว่านี้สัก 2 อาทิตย์รับรองว่าบานสะพรั่งสวยสะพรึงแน่นอน
ที่สวน Kenroku-en Garden ก็จะเป็นสวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเลยค่ะก็เลยจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติใส่ชุดกิโมโนมาถ่ายรูปกันที่นี่ค่ะ
วันที่ 3 พัดเริ่มจากไป 21st Century Museum of Contemporary Art ค่ะ ที่นี่เค้าจะจัดแสดงผลงานของศิลปินร่วมสมัยที่ได้รับรางวัลจากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและจากทั่วโลก ที่นี่จะอนุญาติให้ถ่ายรูปได้เฉพาะด้านนอก ส่วนด้านในที่แสดงผลงานต่าง ๆ เค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปเลยค่ะมีห้องเดียวที่ถ่ายได้ก็คือสระว่ายน้ำที่เป็น signature ของพิพิธภัณฑ์นี้ค่ะ
ใครอยากมาเข้าชมที่นี่เปิดวันอังคารถึงเสาร์นะคะ 10:00-21:00น. ปิดวันจันทร์ค่ะ
สถานที่ต่อมาเรียกว่าเป็นจุดที่พัดชอบมากที่สุดของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ค่ะนั้นก็คือหมู่บ้านโบราณที่มีอายุกว่า 180 ปีที่ “Hagashi Chaya District” ถ้าใครเคยไปเดินเล่นแถว Gion ที่เกียวโตอารมณ์ที่นี่ก็จะประมาณนั้นเลยค่ะ บ้านที่นี่เรียกว่า Chaya House คือเป็นบ้านสองชั้นชั้นล่างด้านนอกจะเป็นไม้ระแนงซี่ ๆ(kimusuko) เป็นเอกลักษณ์ของบ้านแบบนี้ค่ะ หมู่บ้านนี้มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะค่ะซึ่งสมัยนั้นเนี่ยเค้าไม่อนุญาตให้สร้างบ้านสองชั้นยกเว้น Chaya House แถวนี้ส่วนมากก็จะเป็นแหล่งเกอิชาที่ผู้ชายจะมาสังสรรค์ดูเกอิชาร่ายรำและเล่นดนตรีค่ะ นอกจากนั้นยังมีบ้านของซามูไรด้วยซึ่งถือเป็นอาชีพที่ร่ำรวยมีฐานะในสมัยนั้น ปัจจุบันบ้านแถวนี้ถูกปรับปรุงเป็น teahouse ขายชาและขนมหวานเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ใครชอบทานขนมมาแถวนี้ฟินแน่นอนค่ะ(ร้านอาหารมีน้อยมาก) แล้วก็มีร้านขายของที่ระลึกซึ่งส่วนมากก็จะเป็นพวก hand craft ต่าง ๆ และยังมีบ้านเกอิชาเหลืออยู่บ้างค่ะ
เดินไปอีกนิดข้าง ๆ หมู่บ้านนี่เองก็จะเจอกับแม่น้ำ Asano ค่ะ ใครชอบดอกซากุระนี่เป็นอีกแห่งนึงที่เหมาะมาชมซากุระบานมาก ๆ ค่ะเพราะริมแม่น้ำนี้เรียงรายไปด้วยต้นซากุระเต็มไปหมด เสียดายมากที่ตอนพัดไปยังไม่บานไม่งั้นคงจะฟินมากและสวยมาก ๆ ค่ะ
ไม่ไกลจาก Hagashi Chaya District มีอีกที่นึงที่มาถึงเมืองนี้แล้วต้องแวะถ่ายรูปนั่นก็คือ Kanazawa Station ค่ะ อาจจะเป็นเพราะดีไซน์ที่โดดเด่นสะดุดตาเลยมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาถ่ายรูปที่หน้าสถานีนี้ค่ะ
Where To Eat
นอกจากเรื่องเที่ยวแล้วเรื่องกินนี่แหละค่ะเรื่องใหญ่ของพัด ก่อนมาพยายามเสิร์ชหารีวิวร้านอาหารแต่แทบไม่มีเลยค่ะ เมืองนี้ยังเป็นที่ ๆ ต่างชาติรู้จักน้อยมากแทบหารีวิวไม่เจอ อันที่เจอก็ดูไม่ใช่ทางของ PATSAMON eat well, travel with style เอาซะเลย555 ก่อนมาก็เลยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ จะรอดไม่รอด แต่พอมาถึงแล้วก็เซอร์ไพรซ์อยู่เหมือนกันที่มีร้านชิค ๆ น่ารัก ๆ ไม่เหมือนที่เราไปดูคนอื่นรีวิวมาเลย ขอรีบออกตัวก่อนว่าหลาย ๆ ร้านไม่มีชื่อร้านนะคะเพราะอ่านไม่ออกค่ะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น ขอความกรุณาอย่าเกรี้ยวกราดใส่กันเลย ดูรูปหน้าร้านเอาเนอะๆๆๆ ถ่ายมาให้ดูแล้วค่ะจะได้ตามไปทานกันได้
ว่าแล้วก็มาเริ่มกันที่ของดังอย่างปลาดิบกันก่อนค่ะ พัดจะพาไปตะลุย“ตลาดปลา”กันว่ามีร้านไหนเด็ดบ้าง ร้านแรกที่พัดไปทานเป็นร้านข้าวหน้าปลาดิบเข้าไปแบบมั่ว ๆ เลยเพราะเห็นคนต่อคิวเยอะเราก็มโนเองว่าคงเป็นร้านดัง ชื่อร้าน 刺身屋 (Sashimiya) จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าดังไม่ดัง555 เห็นหน้าร้านมีข้าวหน้าไข่หอยเม่นของโปรดก็เลยมีแรงดึงดูดให้ไปยื่นต่อแถว ร้านเค้าก็จะดูแบบ traditional มาก ๆ มีที่นั่งไม่เยอะ อาหารจัดว่าดีอยู่ค่ะสดอร่อย uni ไม่คาวราคาไม่แรง ข้าวหน้า 3 ไข่ของพัด (uni, ikura, tamago) จานนี้ 3000 yen ค่ะ
ร้านต่อมา あまつぼ (Amatsubo) ขายอาหารแบบเดียวกันกับร้านแรกเปี๊ยบราคาสูงกว่าจิสนึงแต่พัดว่าคุณภาพดีกว่าอร่อยกว่า uni จัดว่าดีมากหวานฉ่ำ ไข่ปลาแซลมอนก็ดีงาม แนะนำร้านนี้มากกว่าค่ะ
ร้านต่อมาขอสารภาพความอ๊องความเอ๋อไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหนว่านี่คือร้านข้าวแกงกะหรี่ที่เสิร์ชหามา ไปนั่งต่อคิวอยู่นานกว่าจะได้ทานมารู้ตัวว่ามาผิดร้านก็ตอนที่เปิดเมนูดูแล้วหาข้าวแกงกะหรี่ไม่เจอ เจอแต่ซูชิ มันคือร้านซูชิจานหมุนจร้าาาาาา บอกตามตรงว่าไม่สังเกตเห็นสายพานซูชิที่กำลังหมุนตรงหน้าเลย555 เอาน่าแต่ก็เป็นร้านดังที่คนมาทานเยอะมาก ๆ ค่ะ รสชาติและคุณภาพก็กลาง ๆ สั่ง chutoro มาก็จัดว่าดีอยู่ค่ะ
หลังจากทานจนอิ่มก็มาตามล่าหาความจริงต่อว่าเราคิดได้ไงว่าคือร้านข้างแกงกะหรี่ พอเดินออกมาดูก็อ๋ออออออ มันมีป้ายร้านข้าวแกงกะหรี่ที่เราอยากทานอยู่ข้างหน้าแต่เป็นป้ายบอกทางว่าให้ลงไปชั้นใต้ดินนี่เอง #ไหวมั้ยคนดี
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเราก็ต้องมาทานข้าวแกงกะหรี่นี้ให้ได้ไม่ให้เสียทีที่ไปผิดร้านค่ะ ตกเย็นพัดเลยมากดตู้สั่งข้าวแกงกะหรี่ที่มีแต่ภาษาญี่ปุ่นล้วน กะสั่งหน้าหมูทอดแต่ได้ไก่ทอดแทนเพราะในรูปแยกไม่ออกอันไหนไก่อันไหนหมู อ่านญี่ปุ่นก็ไม่ออก โอ้ยยยยยย แต่เพื่อนที่มาด้วยกันได้หมูพัดเลยชิมทั้งสองแบบพัดว่าหมูทอดอร่อยกว่าค่ะ ที่ร้านนี้ข้าวเค้าจะอยู่ด้านล่าง ให้ข้าวไม่เยอะไม่เหมือนร้านที่ไทยนะคะจานค่อนข้างเล็กแต่สำหรับพัดอิ่มกำลังดี ตัวแกงเค้าก็ราดมาไม่เยอะ รสชาติดีเลยพัดชอบนะ ลืมบอกว่าชื่อร้าน “Champion Curry” อยู่ชั้นใต้ดินของตลาดปลาค่ะ
อ่ะเดี๋ยวจะหาว่าใจคอจะไม่ไปทานที่อื่นนอกจากตลาดปลาเลยใช่มั้ยหลังจากนี้จะเป็นร้านชิค ๆ บ้างแล้วค่ะ ร้านแรกเห็นแล้วเอะอะโวยวายนึกไม่ถึงว่าเมืองนี้จะมีร้านอะไรแบบนี้อยู่ด้วย มันช่างมีความเก๋ มินิมอล และความเซนแบบญี่ปุ่น ๆ คละเคล้ากันอยู่มันคืออาหารอะไรไม่รู้แต่ความชิคนี้เราต้องเข้าไปสัมผัสค่ะ ร้านนี้ชื่อร้าน “Coil” คิดในใจว่าร้านเทมปุระแต่ความจริงคือร้านข้าวห่อสาหร่ายแบบ DIY ที่เราจะต้องเลือกไส้เอง ม้วนเอง หน้าตาออกมายังไงคงไม่ต้องบรรยายามาก ใส้ทะลักเละสิคะคุณ ในส่วนของรสชาติก็ธรรมดา ถือว่ามาเสพความชิคค่ะ
ต่อมาที่ห้างเดียวกันก็มีร้านขนมจุ๊บุจิ๊บิคิวท์ ๆ อยู่ด้วยชื่อร้าน “Tarte Tarte Tarte Du Bon Temps” ขนมอร่อย กาแฟดี เหมาะสำหรับวัยใสอย่างเรามากทีเดียว
ยังไม่หมดกับห้างนี้ค่ะมี cafe เก๋ ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่งในเมืองนี้ ร้าน “Warutsu” เค้าขาย waffle กับกาแฟค่ะ พัดสั่งวอฟเฟิลมะม่วงมาจัดว่าดีทีเดียว กาแฟก็โออยู่ค่ะ
พาไปเที่ยวหมู่บ้านโบราณไปแล้วก็มีร้านขนมจะมาแนะนำ จริง ๆ ขอสารภาพว่าเข้าไปทานร้านนี้เพราะเห็นว่าไม่ต้องต่อคิวมีอีกร้านน่าทานมากแต่คิวยาวม๊ากกกกก 金澤しつらえ (Kanazawa Shitsurae) ร้านนี้เดิมเคยเป็นบ้านซามูไรมาก่อนค่ะแต่ตอนนี้เป็นร้านขายของ handcraft และมีร้านของหวานซ่อนอยู่ด้วย บรรยากาศข้างในคือดีเลยญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ขนมอร่อย parfait ของร้านนี้เค้าใช้ไอศครีมของ cremia เป็นไอศครีมที่พัดชอบมากถึงมากที่สุด ชาเขียวก็เข้มข้น แนะนำเลยค่ะร้านนี้
กลับมาที่ของคาวกันบ้าง มาญี่ปุ่นหลายวันแล้วยังไม่ได้ทานเนื้อเลยเหมือนมาไม่ถึงรู้สึกขาดบางสิ่งบางอย่างไป และแล้วสวรรค์ก็บันดาลให้พัดบังเอิญเจอร้านเนื้อย่างอยู่ใกล้โรงแรมมากกกกก ร้าน 牛や 榮太郎 (Gyuya Eitaro) บรรยากาศดีเนื้อดี โอ๊ยฟิน จานที่ไม่อยากให้พลาดเลยคือ sukiyaki เป็นเนื้อสไลด์บาง ๆ ราดน้ำซอสสุกี้มาแบบชุ่มฉ่ำ ย่างพอสุกจิ้มกับไข่ดิบ บอกได้คำเดียวว่าพีคค่ะ
สุดท้ายท้ายสุดที่ไม่ได้ทานเหมือนมาไม่ถึง Kanazawa ก็คือไอติมแปะทองที่มีขายทุกที่ในเมืองนี้จริง ๆ ค่ะไปไหนก็เจอ แต่วันนี้พัดทานที่หน้าสวน Kenroku-en ค่ะเป็นไอศครีมของ Cremia ที่พัดชอบมาก ๆ แปะทองให้มีกิมมิกตามสตอรี่ของเมืองและเพิ่มมูลค่า ทางเราก็ลืมเล่าไปว่าเมืองนี้เนี่ยแต่เก่าก่อนเค้าโด่งดังเรื่องหัตถกรรมทำทองคำเปลวอะไรพวกนี้ อาหารและขนมที่เมืองนี้อะไร ๆ ก็จะต้องมีทองโรยมาบ้างแปะมาบ้าง
Transportation
จริง ๆ ทริปนี้พัดเช่ารถพร้อมคนขับค่ะเพราะว่ามากันหลายคน แต่สำหรับใครที่ไม่อยากเช่ารถการเดินทางที่นี่ก็ดูสะดวกนะคะแล้วสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เนี่ยอยู่ไม่ไกลกันเลยเดินไปได้อยู่ค่ะ
สำหรับใครที่อยากหาที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่คนยังไม่เยอะแยะวุ่นวาย ได้สัมผัสทั้งวัฒนธรรมดั้งเดิมของเค้า ได้ใช้ชีวิต slow life พักผ่อนเดินเล่นชิลล์ ๆ พัดคิดว่า Kanazawa ก็เป็นอีกเมืองนึงที่เสน่ห์ มาแล้วรู้สึกสบาย ๆ ไม่ต้องแก่งแย่งไม่ต้องเร่งรีบ สถานที่เที่ยวก็ยังมีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ แถมยังเดินทางสะดวกบินมาลงเมืองนี้ได้เลยอีกต่างหากด้วยค่ะ
#JapanAirlines #FlyJAL #DiscoverYourColourWithJAL